Where are you ? Where are you ? What does love look like ? ว่าด้วย emotional responsiveness

References

ฟัง podcast ว่าด้วยกลไกความรัก โดยนักบำบัด Susan M. Johnson ใน The Knowldge Project สรุปไว้นานแล้วในทวิตเตอร์ รู้สึกว่ามีประโยชน์เลยเขียนไว้ในนี้อีกรอบ

พื้นฐานสำคัญของความรักคือการมี emotional responsiveness การส่งสัญญาณตอบสนองทางอารมณ์ระหว่างกัน

หากรักใครเราจะส่งสัญญาณหาคนนั้น หวังว่าเขาจะ respond กลับมา คนที่มาจากครอบครัวที่อบอุ่น เคยเจอกับความรักที่ดี จะนึกออกว่าความรู้สึกเชื่อใจนี้มันรู้สึกประมาณไหน 🥺  คนมาจากพื้นเพที่ไม่ได้รับความรักต้องตามหาสิ่งที่ยังนึกไม่ออกว่ามันต้องรู้สึกแบบไหน 🧐

บางที คนรักไม่ต้องแก้ปัญหา แค่รับฟังและสร้างความเชื่อใจ คอย respond ตอบกลับว่าให้แน่ใจว่ายังอยู่นะ ความสัมพันธ์สั่นคลอนคือเมื่อใครสักคนรู้สึกว่าไม่ได้รับการตอบสนอง ไม่ถูกรับฟัง เขายิ่งก่อดราม่า พูดเสียงดัง แสดงท่าทีรุนแรงเพื่อเร้าให้อีกฝั่งตอบสนอง  แต่หากอีกฝั่งเลือกนิ่งเงียบ เมินเฉย เลี่ยงความขัดแย้ง ก็ยิ่งไม่มีสัญญาณตอบกลับ ยิ่งทำให้อีกฝั่งรู้สึกเหมือนเป็นบ้า การเงียบเฉยรอให้เวลาคลี่คลายเลยไม่ใช่ strategy ที่ดีในการรักษาความสัมพันธ์ 🥲

จุดที่อันตรายที่สุดในความสัมพันธ์คือ เมื่อใครคนใดคนหนึ่งเลิกส่งสัญญาณไปหาอีกคน เขาเลือกจะ shut down หรือนิ่งเฉยไปเลย คือจุดที่เขาถอดใจไม่แสวงหากันต่อไป อาจเพราะเคยส่งแล้วไม่มีสัญญาณตอบกลับ หรือทำไรไปก็ไม่มีผล พูดไปก็เท่านั้น เขาไม่อยากเสี่ยงโดนเมินเฉยอีกต่อไป จึงเริ่มหาคนอื่นหรือเสาะหาวิธีอื่นในการสร้างการเชื่อมต่อ มนุษย์นั้นโหยหาการถูกสัมผัส การเชื่อมต่อ และสร้างความมั่นใจ

เวลาผ่านไปคือจะไปสู่จุดนึงที่ไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป คือไม่โหยหา ไม่รอคอย ไม่เชื่อใจว่าคนรักนั้นเป็นที่พึ่งพาทางอารมณ์และจิตใจได้อีก จุดนี้คนที่หมดรักจะไม่โกรธไม่หงุดหงิดอีกแล้ว แต่ไม่ไว้ใจวางใจ และไม่แสวงหากันอีกต่อไป แล้ว the connection is lost. ลาก่อยยย

Sue เป็นผู้เชี่ยวชาญและนักบำบัดสาย EFT (Emotionally Focused Therapy) ซึ่งมีชุดคำถามสำหรับ Check Up ความสัมพันธ์ ความรักคือการเต้นรำ เราต้องคอยสังเกตว่าคู่เต้นยังอยู่กับเราไหม หรือใจได้หลุดลอยไปอยู่ไหน หรือเลิกส่งสัญญาณไปแล้วเพราะรู้สึกเหนื่อยจะรอ ต้เราองคอยเช็ค หมั่นคอยดูแลรักษาดวงใจกันเรื่อยๆ อาจฟังดูเป็นคอมม่อนเซ้นส์ เจอกันทุกวันแต่ไม่เชื่อมถึงกันเลยมีมากมาย ทนๆ อยู่กันไปแบบไม่รู้สึกอะไร ไม่เชื่อมต่อกันแล่วแต่ไม่รู้ตัว ไม่มีเรื่องจะพูดคุย ไม่มีคำถามหรือความสงสัยต่อกันอีกต่อไป

หลายคนเมื่อแต่งงานกันไป อยู่ด้วยกันนานเป็นสิบปี เอาพลังงาน-เวลาของชีวิตทุ่มเทกับการเลี้ยงลูก ดูแลครอบครัว หาเงิน พอลูกเติบโตค่อยๆ ย้ายออกจากบ้าน คู่สมรสกลับพบว่าไม่รู้จะคุยอะไรระหว่างกันอีกต่อไป กลายเป็นไม่พบสัญญาณตอบสนองระหว่างกัน ทำให้คนหย่ากันในช่วงชีวิตนี้ ในวันที่เราสงสัยว่าคนที่รักเรานั้นเป็นใครกันแน่ เรารู้จักเขาจริงไหม คือความรู้สึกเชื่อใจได้หดหายลงไปแล้ว เป็นจุดเสี่ยงที่จะเกิดการหย่าร้าง 😕 ผู้ชายก็ไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตที่โหยหาแต่เซ็กซ์อย่างที่หลายคนมักสรุป เพศชายก็ต้องการการสัมผัส ต้องการการดูแลใส่ใจไม่ต่างกับคนอื่นๆ

คนที่ไม่รู้สึกพร่องในความรักย่อมไม่แสวงหา มนุษย์ไม่ได้โหยหาความรัก พวกเขาโหยหาความรู้สึกเชื่อมต่อกับคนอื่น อยากรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญที่สุดของใครสักคน และการถูกปฏิเสธ ถูกเมินเฉยทำให้คนเป็นบ้า พวกเขาจึง shut down ตัวเอง ไม่อยากเสี่ยงส่งสัญญาณที่ไม่ได้รับการตอบกลับอีกต่อไป

สรุปให้ไม่เศร้าไป

  • กลไกเหล่านี้รู้เพื่อเข้าใจตัวเองและคนรักว่าเราเป็นไร เรากำลังรู้สึกแบบไหน เราต้องการอะไร อีกฝ่ายต้องการอะไร อย่าหนีหาย อย่าเงียบ อย่าเพิกเฉย วันหนึ่งเขาอาจไม่อยากจะแสวงหาเราอีกต่อไป
  • รักยืนยาวตลอดชีวิตเป็นไปได้ แต่ต้องคอยเช็คสัญญาณ เผชิญหน้า ซ่อมแซมแก้ไข Bug เสมอระหว่างทาง ความรักซ่อมตัวเองไม่ได้
  • พ่อแม่ทะเลาะกันแล้วดีกันให้ลูกเห็นบ้าง เพื่อส่งสัญญาณว่าความขัดแย้งไม่เข้าใจ แก้ไขได้ คลี่คลายได้ เป็นเรื่องปกติของความสัมพันธ์ 🥰
  • ตกหลุมรักไม่ยาก การตัดสินใจกล้าออกมาในวันที่ไม่เวิค หรือการทำให้รักอยู่ทนทาน ยากมาก 🥲